[Travel] ทริปน่านไง ขับมอเตอร์ไซค์ 400 กิโลเมตร แบบจุกๆ หลังจาก Fully vaccinated

ตั้งแต่โควิดมาเยือนเมืองไทย การ WFH ก็เป็นกิจวัตรที่ทำเป็นประจำเกือบทุกวัน ความโหยหาอยากออกไปเที่ยวเผชิญโลกกว้างก็ปลุกเร้ามากขึ้นทุกวัน และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อได้รับวัคซีนครบโดส ก็ได้นำพาคนกระหายธรรมชาติให้ได้มาเจอกัน และเกิดเป็นทริปที่ทรมาณตูดที่สุดก็ว่าได้ เอาหละ ขอเชิญทุกคนที่กระหายสายลม แสงดาว และสายหมอกออกเดินทางไปด้วยกันได้เลยครับ

น่าน เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติเยอะ ด้วยภูมิประเทศแบบภูเขาเหมือนจังหวัดเพื่อนบ้านในโซนภาคเหนือ โดยมีเทือกเขาหลวงพระบาง ซึ่งเป็นเทือกเขาหินแกรนิต ตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของจังหวัดที่ทอดตัวยาวจากทิศเหนือลงใต้ยาวไปจนถึงจังหวัดพิษณุโลก และมีอุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง ซึ่งที่ที่เราจะไปก็อยู่ในโซนเทือกเขานี้แหละ

Ref. Wiki

ใครที่มีเวลาน้อย ลองดูจากคลิปไปพลางๆได้นะ

ถ้าใครมีเวลาว่าง เรามาเดินทางไปด้วยกันต่อเลยครับ

TL, DR; (21-25 กันยายน)

  1. ออกเดินทางจากกรุงเทพฯด้วยรถบัสจากนครชัยแอร์แถวๆหมอชิต2 ในช่วงเย็นหลังเลิกงาน
  2. ถึงบขส.น่านตอนเช้าวันถัดไป ขึ้นรถสองแถวต่อเพื่อไปชมน่านเพลสเพื่อเช่ารถมอเตอร์ไซค์
  3. ขับมอเตอร์ไซค์ไปกางเต๊นท์ค้างคืนที่เปียงซ้อ-เม้าเทนวิว ระหว่างทางแวะจุดถ่ายรูปโค้งเลข3, บ่อเกลือ, สะปัน, หยุดเวลาคาเฟ่, บ้านห้วยโทน(ที่ไม่รู้จะแวะทำไม เพราะไม่มีอะไร), บ้านเวร
  4. วันต่อมาขับรถไปเกวะตะ-โฮมสเตย์ ระหว่างทางแวะต้นกำเนิดแม่น้ำน่าน, จุดชมวิว 1715, บ้านเต๋ย(มีเรื่องเล่า ต้องอ่านเวอร์ชันยาว)
  5. วันต่อมาให้เจ้าของเกวะตะพาขับรถเที่ยวๆใกล้ๆ ปิดท้ายด้วยน้ำตกห้วยตะวัน, ติดฝนแถวๆม่อนสายลม ซ่อมรถและปฐมพยาบาลที่สกาด ปลายทางไปกางเต๊นท์ที่อช.ดอยภูคา
  6. วันสุดท้าย ขับรถเข้าเมืองน่าน กราบพระชมวัด เดินทางกลับกทม.

อังคารที่ 21 กันยายน: เริ่มออกเดินทาง

วันแรกยังไม่มีอะไรมากครับ แค่เริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพด้วยรถบัสนครชัยแอร์แถวๆหมอชิต2 แล้วก็หลับยาว ไปตื่นอีกทีที่บขส.น่านในเช้าวันถัดไป

สัมภาระมีแค่นี้แหละ

พุธที่ 22 กันยายน: ขับรถยาวๆวันแรก

05.30 น. เราก็มาถึงบขส.น่าน ตอนนั้นฝนตกพรำๆพอดี เราเลยเรียกรถสองแถวที่จอดอยู่แถวนั้นให้พาไปที่ชมน่านเพลส ที่ๆเราจะไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์กัน พอดีสื่อสารกับคนขับผิดพลาดนิดหน่อย รถเลยขับไปผิดทาง แต่สุดท้ายก็มาถึงที่หมาย

พอมาถึงเราก็รอเจ้าของรถไม่นานมาก ทำให้มีเวลาจัดแจงสัมภาระใหม่ว่าอันไหนจะใส่กล่องท้ายรถบ้าง พอเจ้าของรถมาถึงก็เซ็นต์เอกสาร จ่ายมัดจำและบิดรถออกไปลุยกันได้เลย

เส้นทางทั้งหมดที่เดินทางไปในวันนี้ ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร

จุดแรกๆที่เราแวะถ่ายรูปกันคือโค้งถนนที่เป็นรูปเลข 3 ผมก็งงๆว่ามันคืออะไร คือทริปนี้ผมไม่ได้อ่านอะไรมาล่วงหน้าเลย กะมาเซอร์ไพร์สจริงๆ(แล้วก็เซอร์ไพรส์จนได้) ขับไปอีกสักหน่อยก็เจอจุดชมวิวเป็นระยะ จนเราแวะกันค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว มารู้ทีหลังว่าวันเสาร์คนมาที่น่านและแวะถ่ายรูปที่นี่จนแออัดไปเลย ถือว่าเราโชคดีมากที่มาก่อนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ

แวะเติมน้ำมันแถวๆสะปัน(ร้านนี้เลี้ยงกบไว้ในห้องน้ำด้วยละ😹)

ขับรถต่อไปไม่นานก็แวะหาอะไรเย็นๆทานที่หยุดเวลาคาเฟ่ วิวแถวนี้สวยแบบเรียกได้ว่าวัวตายควายล้มเลยทีเดียว

พอทั้งอิ่มข้าวอิ่มเครื่องดื่มเย็นๆกันไปแล้วก็บิดรถไปต่อที่ห้วยบ้านห้วยโทน ที่ที่ไม่รู้ว่ามีอะไร รู้แต่ว่าเป็นหมู่บ้าน ระหว่างทางบอกเลยว่าหนัก(หนักแค่ไหนดูใน VDO เลย) แต่ยังไม่เข้าขั้นสาหัส(ซึ่งมีในวันถัดๆไป) พอถึงแล้วก็ถ่ายรูปสองสามใบแล้วกลับรถเลย ในใจก็จะได้ถามตัวเองว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่?” แต่วิวสองข้างทางและนาข้าวเขียวๆคือสวยจริงๆนะ ถ้ามัวแต่ชมวิวอาจขับตกถนนได้เลย

พอออกจากบ้านห้วยโทนได้ก็มุ่งหน้าสู่ปลายทางที่พัก แต่ระหว่างทางมันก็ดันมีที่สวยๆจนห้ามใจไม่ให้แวะไม่ได้คือจุดชมวิวนาขั้นบันไดบ้านเวร จริงๆแล้วจุดนี้มีแค่นี้เลย ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่ก็น่าถ่ายรูปอยู่ดี

ก่อนออกมาจากจุดนี้ฟ้าฝนก็เริ่มเตือน เราจึงต้องงัดเสื้อกันฝนมาใส่ก่อนออกเดินทาง แล้วฝนก็ตกมาจริงๆ แต่รอบนี้ไม่หนักและไม่นานมาก

ขับรถออกจากบ้านเวรมาประมาณ 7 กิโลเมตร ตัวเลขอาจจะดูน้อยแบบไม่น่าเหนื่อย แต่พอดีว่าถนนแถบนี้ค่อนข้างขับยาก สุดท้ายพวกเราก็มาถึงเปียงซ้อ-เม้าเทนวิวกันอย่างปลอดภัย ถ้าขับรถไปอีกหน่อยจะมีจุดชมวิวหลักของที่นี่ด้วย ส่วนร้านอาหารจะอยู่ในหมู่บ้าน เราไปถึงประมาณ 17.00 น. เกือบจะไม่มีของขายกันแล้ว ดังนั้นเผื่อเวลาดีๆนะครับ

เกร็ด: จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 160 เมตรเท่านั้นเอง แต่ถูกขั้นด้วยเทือกเขาหลวงพระบางทางทิศตะวันออก แปลว่าต้องเดินลุยป่าลุยเขาถึงจะข้ามไปได้

คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น แต่ไม่หนาวมาก ที่นี่มีห้องน้ำแบบชาวบ้านให้เราใช้ด้วย อาจจะไม่เหมาะถ้าใครไม่ชินนะครับ ส่วนท้องฟ้ามีเมฆเยอะมากจนผมตั้งกล้องไว้ตั้งนานแต่ไม่มีรูปดาวสวยๆมาฝากเลยไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้านะครับ

เมฆเยอะแค่ไหนถามใจเธอดูว (ถ่ายด้วย Long exposure)

พฤ.ที่ 23 กันยายน: 1715 จุดชมวิวแห่งสายหมอกที่สวยที่สุด

เส้นทางทั้งหมดของวันนี้ ระยะทาง 126 กิโลเมตร

เช้านี้ผมถูกปลุกเป็นระยะด้วยเสียงหยดฝนโปรยปราย แต่ตื่นจริงๆจากเสียงน้องที่ไปด้วยที่ลุกมาถ่ายรูปทะเลหมอกแต่เช้า ส่วนผมนั้นยังอยากนอนต่อ แต่ด้วยความที่อยากได้ภาพสวยๆ เลยจำเป็นต้องตื่นมาเก็บภาพ Time-lapse สวยๆกัน

Time-lapse ดูใน VDO ข้างบนนะครับ

พอเก็บภาพจนแสงแดดเริ่มจะทำให้อากาศตอนเช้าอุ่นพอที่จะขับรถได้ เราจึงเริ่มบิดรถออกเดินทางต่อก่อนที่จะแวะทานข้าวที่ร้านค้าของชาวบ้านข้างทาง ซึ่งเช้านี้ก็กินง่ายๆกับตับย่างและขนมจีนน้ำยาสูตรท้องถิ่น สีน้ำจะดูจัดจ้านมาก แต่รสชาติไม่เผ็ดเลย จริงๆแล้วมีไก่ย่างด้วยนะ แต่พอดีมีงานของชุมชนเลยถูกกว้านซื้อไปก่อนแล้ว

พอท้องเริ่มอิ่มก็ออกเดินทางกันต่อ โดยขับไปอีกไม่นานก็จะเจอต้นกำเนิดแม่น้ำน่านที่เมื่อวานเราขับเลยมา วันนี้เราใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับมา เลยทำให้ผ่านที่นี่อีกครั้ง ดังนั้นต้องลองแวะดูสักหน่อยครับ ซึ่งเราต้องเดินจากป้ายข้างไปเข้าไปอีกประมาณ 100 กว่าเมตรเอง

ถัดจากจุดนี้เราก็ขับรถย้อนกลับลงมาทางเดิมไปจนถึงบ่อเกลือเพื่อเติมน้ำมัน ระหว่างทางเราต้องสลับใส่เสื้อกันฝนบ้าง เก็บเสื้อบ้างเพราะฝนตกเป็นระยะๆ พอเติมน้ำมันเสร็จเราก็ขับเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1256 เพื่อเข้าเขตสู่อำเภอปัว จุดนี้เองที่เซอไพรส์ผมมากๆ เพราะเราต้องขับรถชนกับสายหมอกราวกับกำลังเข้าสู่เมืองลับแลหรือชานชลาหมายเลข 3/4 ใน Harry Potter เลย พอเข้าสู่เขตนี้อากาศก็เปลี่ยนไปทันที รอบข้างมีแต่สายหมอก ทัศนวิสัยมีไม่กี่ 10 เมตร พร้อมกับสายฝนพรำๆ เป็นความรู้สึกที่แปลกแต่ชอบมากๆที่นึง ที่คงจะจำไว้ว่าอยากมาอีกสักคร้ัง

หมอกนะไม่ใช่ PM2.5 เด้อ

แน่นอนว่าเรากำลังเข้าสู่จุดชมวิว 1715 จุดที่ผมให้เป็นจุดไฮไลท์ของทริปนี้เลย เอาจริงคืออยากกางเต๊นท์นอนตรงนี้เลย

ขับเลยมาอีกหน่อยจะเจอศาลตรงทางโค้งใกล้ๆกันนั้นจะมีต้นชมพูภูคาที่เป็นไม้ยืนต้นที่หายากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งในโลก ตอนนี้พบที่อ.ปัวที่เดียว

พอเราสูดสายหมอกเย็นๆเข้าไปเต็มปอดจนอิ่มเอม ก็ได้เวลาบิดรถต่อไป

ป้ายหน้าน้องที่นำทริปอยากไปถ่ายรูปที่พิกัดลับที่เรียกว่าบ้านเต๋ย-บ้านแจรงหลวง ซึ่งลับจริงๆจนเราขับรถเลยไปเลยมาก็ยังหาไม่เจอ สุดท้ายมาเจอตอนจะกลับ ก็ไม่รู้ทึกทักไปเองว่าใช่หรือเปล่านะ จะเป็นวิวไร่ข้าวที่ปลูกบนภูเขา ภาพประมาณนี้แหละท่านผู้โช้ม (คุ้มมั้ย สภาพพพ)

พอเสร็จจากจุดนี้เพิ่งมารู้ว่าเส้นทางที่จะไปต่อมันถูกน้ำท่วมถนน ทำให้ต้องวิ่งเส้นหลักซึ่งอ้อมมากกว่า ตรงนี้แหละที่เซอไพรส์ผมอีกจุดนึง เพราะว่าผมเริ่มหมดแรงและคุมรถไม่อยู่ เลยเกิดอุบัติเหตุรถล้มเล็กน้อย พอมาทบทวนดูเลยคิดว่าช่วง WFH ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนล้าและเครียดสะสม เลยตัดสินใจเข้าโค้งผิดพลาด โดยใช้เบรกหน้าเข้าโค้งซึ่งปกติผมจะใช้เบรกหลังเสมอ แต่ตอนนั้นมันเบลอๆเลยเบรกมั่วไปหมด จบที่ลงไปกองกับผักข้างทางเลยจ้า ชี้จุดเกิดเหตุ(โค้งพับผ้านาแล)

ถ้าดูใน Google map จะเห็นว่าเป็นโค้งต่อกัน 4 จุด ผมก็ล่อไปตั้งแต่โค้งแรกเลย ก็เป็น Lesson learn กันไป เอาเป็นว่าครั้งหน้าจะไม่ฝืนตัวเองแล้วคับ

พอตั้งหลักได้ก็เริ่มขับกันต่อไปเพราะไม่ได้เจ็บมาก เป็นแค่แผลถลอก ตอนแรกๆก็แค่ชา(สักพักเป็นกาแฟ ผ่ามๆๆ) หลังๆก็เริ่มแสบ สุดท้ายพวกเราก็พยุงกันมาจนถึงเกวะตะ-โฮมสเตย์จนได้

จากที่เห็นในรูปคือเป็นบ้านไม้โง่ๆแบบนี้เลย ส่วนที่อาบน้ำก็เป็นลานกลางแจ้งแบบที่ชาวลัวะแถวนี้ใช้กัน ส่วนน้ำไหลมาจากภูเขา จนมีแรงดันมากพอที่จะไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำช่วย ส่วนใครที่ไม่ชอบอาบน้ำกลางแจ้ง เขาก็มีห้องอาบน้ำปกติให้ด้วยนะ

ตัวบ้านที่เห็นง่ายๆแบบนี้แต่ค่าเข้าแพงพอๆกับนอนโรงแรมเลยละ เพราะถึงจะแค่บ้านไม้ เขาก็ชูจุดขายที่ใกล้ชิดธรรมชาติ หลีกหนีความวุ่นวายจากสังคมเมืองมาลองใช้ชีวิตแบบไม่มีไฟฟ้าใช้ ห๊ะ อะไรนะ!!! ไม่มีไฟฟ้าอย่างนั้นหรอ, ใช่แล้วครับ ดังนั้นอย่าลืมเตรียม Power bank มาด้วยละ

พอพวกเรามาถึง น้องที่มาด้วยก็พุ่งไปอาบน้ำที่ลานกลางแจ้งด้วยความเร็วแสง พลันยื่นกล้อง Olympus มาให้ผมถ่ายให้ ผมก็กลายเป็น Partner Onlyfans ไปแล้วสินะ🙀

ไม่นานหลังน้องอาบน้ำเสร็จ เจ้าของบ้านก็ทำกับข้าวเสร็จ ก็ยกสำรับจากใต้ถุนที่เป็นครัวและที่พักของเจ้าของบ้านขึ้นมาให้พวกเราทานกัน ในสำรับจะเป็นอาหารท้องถิ่นเป็นส่วนมาก เช่น

  • ใบเมี่ยงชุบไข่ทอด
  • ไก่ทอดหมักใบเมี่ยง
  • แกงจืดกระดูกหมู
  • น้ำพริกมะแขว่น
  • ปลาทูทอด
  • ไข่เจียว
  • เครื่องเคียงมี กากหมู และแครอท+ฟักลวก

สำรับอาหารท้องถิ่น รวมกับแสงจากตะเกียงเป็นช่างเป็นมื้ออาหารที่น่าจดจำอีกมื้อนึงเลย ส่วนใครที่ไม่ถนัดอาหารท้องถิ่นก็ทานแกงจืด ไข่เจียวแทนได้เลยนะ

ระหว่างที่ทานอาหาร เจ้าของบ้านก็จะมาแนะนำวัตถุดิบหลัก และวิถีชีวิตของคนที่นี่ ทำให้แขกที่มาเยือนได้รับประสบการณ์เต็มอิ่มแน่นอน คือ ที่นี่อยู่ในหมู่บ้านเกวต(พยางค์เดียว ที่ไม่ใช่ เก-วด) ชาวบ้านเป็นชาวเขาเผ่าลัวะ เจ้าของบ้านก็เป็นคนในหมู่บ้าน

เมื่อหลายปีมาแล้วมีชาวญี่ปุ่นได้มาท่องเที่ยวที่นี่และมีความคิดอยากพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวท้องถิ่นที่นี่ เลยจัดตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนโรงเรียนบ้านเกวตขึ้นในช่วงที่เจ้าของบ้านยังเป็นเด็กอยู่ ซึ่งเจ้าของบ้านก็เคยได้รับทุนจนได้เรียนในระดับที่สูงขึ้น

ซึ่งปกติแล้วชาวบ้านที่นี่ก็จะเป็นชาวเขาที่ล้าหลัง(เจ้าของบ้านใช้คำนี้) คือก็แค่ปลูกข้าว ปลูกเมี่ยงซึ่งเป็นอาชีพหลัก พอเจ้าของบ้านเริ่มมีความรู้ความสามารถมากขึ้นเลยคิดอยากจะทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาเพื่อดึงรายได้เข้าสู่ชุมชนด้วย ส่วนชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็ขาดการติดต่อสื่อสารกันตั้งแต่ปี 2011 ที่เกิดซึนามิขึ้น

คำว่า “เกวะตะ” ชื่อนี้จะเห็นว่ามีความเป็นญี่ปุ่นอยู่ เป็นความตั้งใจที่จะใส่ความญี่ปุ่นลงไป และชื่อเดิมคือเกวตนั้นออกเสียงยากเนื่องจากเป็นคำท้องถิ่น เลยมีการปรับแต่งให้เรียกง่ายขึ้น

วันนี้ขับรถมาไกลมากแล้ว ก่อนนอนขอถ่ายภาพดาวให้หายเหนื่อย แล้วหลับลงท่ามกลางราตรีที่ห่อหุ้มด้วยเหล่าภูเขาและเสียงลำธารที่ดังอยู่ไม่ไกล

ศุกร์ที่ 24 กันยายน: น้ำตกลับแห่งบ้านเกวะตะ

ระยะทางรวมวันนี้ 47.3 กิโลเมตร

ตื่นเช้ามาเจ้าของบ้านก็เตรียมชุดชากาแฟให้เราดริฟเองได้ตามใจเลย ตามมาด้วยสำรับข้าวเช้าซึ่งเป็นข้าวต้มไข่ลวก และสาลี่อร่อยๆ

เสร็จจากมื้อเช้า เจ้าของบ้านก็จัดคอร์สเรียนรู้ชุมชน101 โดยครั้งนี้เป็นการแนะนำใบเมี่ยงและชาดอกเมี่ยง ซึ่งเป็นพืชหลักของชาวบ้านที่นี่ เจ้าของบ้านพาเดินไปเด็ดยอดใบเมี่ยงหน้าบ้านมากินกันสดๆเลย

ชาวบ้านที่นี่นิยมกินใบเมี่ยงกัน เพราะทำให้สดชื่นคล้ายๆการกินกาแฟ แต่ถ้ากินมาก็จะใจสั่นได้เหมือนกัน

ต่อมาเราอยากหาที่เที่ยวใกล้ๆแถวนี้ เลยขอจ้างเจ้าของบ้านพานำเที่ยว ทีแรกก็นึกว่าเที่ยวชิวๆ ที่ไหนได้มาลุยถนนดินลื่นๆอีกแน้วววว รอบนี้ลื่นล้มไปอีกจ้า แต่ไม่ได้แผลอะไรเพิ่มอีก ขับไปสักพักคนที่นำก็ล้มอีก คือทางมันหนักจริง เอาจริงคือไม่ควรพามาเส้นทางแบบนี้นะ แอบเคืองเลย สุดท้ายก็มาถึงกระท่อมกลางนาจนได้ เรามาแวะพักกันผ่อน ดริฟกาแฟที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางไปจุดถัดไป

ก่อนถึงจุดถัดไปก็ต้องผ่านถนนดินลื่นๆอีกรอบนึงก่อนจะถึงปลายทางคือ น้ำตกห้วยตะวัน เป็นน้ำตกที่สวยแห่งหนึ่งที่อยู่ในจุดที่ยังไม่แมสมาก เราเลยอดใจไม่ได้ที่จะถอดเสื้อโชว six pack เล่นน้ำกันก่อนบอกลาเจ้าของบ้านแล้วค่อยแยกย้ายจากกันไป

ตรงซ้ายมือของสะพานจะมีช่องให้ขับรถเข้าไปได้ แล้วก็เดินเลาะไปอีกนิดหน่อย

ก่อนจากที่นี่ไป ผมอยากจะขอรีวิวที่นี่ก่อน เผื่อใครที่ตามมาจะได้ทำใจไว้ล่วงหน้าบ้าง

สิ่งที่ดี

  • เจ้าของบ้านอัธยาศัยดี ชวนคุยและให้ความรู้เก่ง
  • บรรยากาศดีสมราคา อาหารอาจจะไม่ได้ดูแพง แต่ได้ประสบการณ์ใหม่ที่ดี
  • น้ำตกคือที่ที่ดีที่สุด

สิ่งที่อยากให้ปรับปรุง

  • ทางเข้าลำบากมากกก โทรถามข้อมูลเจ้าของบ้านดีๆนะ
  • เจ้าของบ้านกับผองเพื่อนรวมเป็น 3 คน มานั่งปิ้งคอหมู และกินเบียร์จนเรากินเข้าเสร็จ เขาก็ยังกินกันต่อ ซึ่งส่วนตัวชอบความ Private กว่านี้
  • อยากให้ทำการบ้านเรื่องเส้นทางเพิ่มเติมก่อนพาเดินทาง เพราะมันขับรถยากมากกกก จะพาเที่ยวไม่สนุกเอา
  • เรามีปัญหากับเจ้าของบ้านตอนเขามาช่วยขันน๊อตกระจกรถที่มันหลวมจากรถล้ม และสื่อสารกันไม่ค่อยดี ตรงนี้ส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องของ Ego ที่ทำให้ขาดการใส่ใจ เลยอยากให้ใส่ใจและลด Ego ลงหน่อย

ระหว่างทางเราเจอฝนตกหนักมาก เลยแวะพักรถที่ม่อนสายลม เป็นจุดที่น่ามากางเต๊นท์อีกจุดเลย แต่ห้องน้ำยังไม่ค่อยดี ก่อนมาแนะนำให้เช็คดีๆก่อนนะ

พอฝนเริ่มซาๆก็ขับรถกันต่อ แล้วไปแวะที่สกาดเพื่อยืมประแจมาขันกระจกส่องหลัง ทานข้าวเที่ยงที่ครัวดอกเมี่ยง และทำแผลไปในตัว

รูปกลางคือใบเมี่ยง

จากนั้นก็ขับรถยาวๆแล้วไปแวะที่ตลาดบ้านส้านเพื่อซื้ออาหารเย็นที่จะเก็บไปทานที่อช.ดอยภูคา จากนั้นก็ขับต่ออีกหน่อยเพื่อเข้าอ.เมืองปัวเพื่อไปเติมน้ำมัน นั่งพักที่ 7-11 และเช็คของเผื่อฝนตกอีกสักหน่อย จากนั้นก็ขับรถย้อนทางเดิมเมื่อวานอีกรอบเพื่อมุ่งตรงสู่ที่กางเต๊นท์ของวันนี้

พอมาถึงเราก็เลือกนอนที่ลานดูเดือนซึ่งมีครอบครัวใหญ่มากางเต๊นท์กันก่อนแล้ว จริงๆแล้วมีอีกจุดที่คนไม่เยอะ แต่วิวไม่สวยเราเลยไม่เลือกจุดนั้น มารู้ทีหลังว่าเราคิดผิด เพราะตอนกลางคืนครอบครัวใหญ่เขาจะเปิดเพลงและคุยเสียงดังกัน ซึ่งเขาก็มาบอกเราให้ทำใจก่อนแล้วล่ะ ผลคือต้องข่มตาให้หลับจนได้

รูปบนขวาคือนั่งกินข้าว ดูแบบนี้แล้ววงวารตัวเองเลย เหมือนตัวคนเดียวท่ามกลางสังคมที่ยิ่งใหญ่ ส่วนรูปล่างก็สภาพอาหาร เทียบกับครอบครัวใหญ่คือกระทะ ตะหลิว พร้อมทำบาบีคิวดีๆกิน

เสาร์ที่ 25 กันยายน: เข้าเมือง กราบพระ ชมวัด เดินทางกลับ

ระยะที่ขับรถมอเตอร์ไซค์วันนี้คือ 101 กิโลเมตร

เช้านี้พอเก็บเต๊นท์เสร็จก็บิดรถมาหาข้าวเช้ากินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวรังสิตเมืองปัว

จากนั้นก็บิดรถต่อไปที่กาแฟบ้านไทลื้อ จุดนี้ถือว่าต้องมาแวะ เพราะมีที่ให้ถ่ายรูปเยอะมาก

ก่อนจะไปจุดถัดไป ขอแวะไปล้างรถที่ร้านนครคาร์แคร์อยู่ข้างๆร้านกาแฟก่อนนะ คือสภาพรถตอนนี้คือกลัวโดนเจ้าของรถด่ามาก

ร้านนี้เจ้าของก็ใจดีมาก เราขอให้เขาหยอดน้ำมันที่ช่องกุญแจของกล่องเก็บของให้เพราะมันฝืดจนไขกุญแจกุญแจไม่ได้ เจ้าของก็บริการเต็มที่ และค่าล้างก็ไม่ได้คิดเต็ม เพราะปกติถ้าล้างแบบจัดเต็มแบบลงแว็กซ์ต้องใช้เวลานานกว่านี้ แต่เราของล้างแค่ฉีดน้ำก็พอ

พอรถสะอาดได้ที่แล้วก็บิดรถไปที่วัดภูเก็ตกันเลย วัดนี้มีสระน้ำที่เราสามารถให้อาหารน้องปลาได้ด้วยนะ ส่วนวิวก็เป็นทุ่งนาเขียวตามรูปครับ

ส่วนจุดต่อไปคือวัดศรีมงคล อยู่ห่างออกไปอีก 13 กิโลเมตร วัดนี้ที่ถ่ายรูปก็เยอะไม่แพ้กัน ถือว่าเป็นการชวนคนเข้าวัดผ่านการท่องเที่ยวไปในตัว

ผ่านมา 2 วัดแล้ว ท้องไส้ก็เริ่มคำราม เลยจำเป็นต้องแวะร้านข้าวซอยใกล้ๆวัดสักหน่อย ตรงข้ามมีร้านกาแฟสด แค่เห็นหน้าร้านก็อยากเดินเข้าไปสั่งสักแก้วแล้ว

พอท้องอิ่มแล้วก็ขับรถยาวๆอีก 57 กิโลเมตร เพื่อเข้าสู่ตัวเมือง โดยวัดต่อมาคือวัดพระธาตุเขาน้อย ที่มี Landmark เด่นมากๆคือพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีเมืองน่านที่หันหน้าออกไปทางเมืองน่านด้วยปางประทานพร นอกจากจะมี Landmark ที่ควรมาสักการะแล้ว ยังมีน้องแมวที่ตกทาสอย่างพวกผมจนต้องไปเล่นด้วยสักพักนึงเลย

ถัดไปเป็นวัดภูมินทร์ ที่ห่างไปอีก 3.7 กิโลเมตร วัดนี้มีจิตรกรรมฝาผนังสไตล์ล้านนาที่สวยมากที่นึงเลย

ถัดไปอีก 250 เมตรจะเจอวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร

รวมทั้งหมด 5 วัด ดังนี้

จากนั้นก็ได้เวลาคืนรถพอดี พอคืนรถเสร็จเจ้าของรถก็ขับรถมาส่งพวกเราที่บขส.อีก คือใจดีมากเลย อยากจะแนะนำให้ทุกคนไปใช้บริการกันเยอะนะครับ ไม่ใช่แค่เช่ารถแต่มีห้องพักให้ด้วยนะ ติดต่อได้ที่ชมน่านเพลสเลย

บทสรุป

และแล้วก็เป็นอันจบทริปที่รอคอยมานานตลอดการ WFH โดยรวมแล้วคือสนุกมาก ต้องไปซ้ำอีกแน่นอน แต่ก็ทำให้รู้ว่าการเที่ยวแบบนี้ไม่ใช่แบบที่เราชอบเลย เพราะมันขับรถเยอะมากกว่าได้เที่ยวอีก และปวดตูดมากกกก แทนที่จะมี Passion มาทำงาน กลับ Burnout หนักกว่าเดิมอีก ตอนนี้น่าจะอยากเที่ยวชิวๆมากกว่า

อีกอย่างคือจุดทานข้าวกับระยะทางขับรถไม่ค่อยสอดคล้องกัน ทำให้ล้าได้ง่ายมาก จุดนี้อาจเป็นที่มาของอุบัติเหตุก็ได้

อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนได้รับวัคซีนที่ดีเร็วๆ และถึงแม้ได้ Fully vaccinated แล้วก็อย่าลืมหมั่นล้างมือใส่แมสก์เหมือนเดิม จนกว่าเราจะควบคุมโรคได้เบ็ดเสร็จนะครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้าอ่าน ฝากกด Like & Comments ให้กำลังใจ Blogger ตัวน้อยๆคนนี้ด้วยนะครับ

สิริรวมระยะทางที่ขับรถเอง

130 + 126 + 47.3 + 101 = 404.3 กิโลเมตร เทียบเท่าขับรถกลับบ้านที่ศรีสะเกษเลย ปีนี้ใช้โค้วต้าเที่ยวพอแล้วมั้ง ไม่มีตังกินข้าวแล้ว😹

ค่าใช้จ่าย

  • ตั๋วรถบัสไปกลับ 592 x 2 = 1,184
  • ค่าเช่ารถคันละ 1,200
  • เปียงซ้อเมาท์เท่นวิว กางเต้นท์ 200
  • เกวตะ โฮมสเตย์ คนละ 850 + ค่าทัวร์ 250 = 1,050
  • ค่าอาหารและอื่นๆ 1,400

รวมประมาณ 5,000 บาทต่อคน

Advertisement

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: